หนู เป็นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม มีวงจรชีวิตประมาณ 3-4 เดือน โดยเฉลี่ยมีลำตัวยาวประมาณ 35-45 เซนติเมตร มีฟันแหลมคม 2 คู่ ซึ่งฟันของหนูจะมีการงอกตลอดเวลา ทำให้หนูต้องใช้ฟันกัดแทะอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน หนูมีการผสมพันธุ์และแพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว หนูสามารถแพร่พันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 3-4 เดือน เมื่อแรกเกิดหนูไม่สามารถช่วยเหลือตัวของมันเองได้จำเป็นต้องให้แม่เป็นผู้ช่วยจนกระทั่งเป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ หนูจะเบิกตาหรือลืมตาได้เมื่ออายุประมาณ 12-14 วัน สามารถผสมพันธุ์ได้ใหม่อีกครั้งเมื่อคลอดตัวอ่อนออกมาได้ภายใน 48 ชั่วโมง ออกลูกได้ปีละ 10-12 ครอก และแต่ละครอกมี 7-8 ตัว หนูสามารถคลอดลูกได้ตลอดปี อายุของหนูมีความยืนยาวแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของหนู
หนูเป็นสัตว์แทะที่ชอบออกหากินเวลากลางคืน แต่ก็จะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ตกดิน แต่บางคนก็อาจจะเห็นหนูหากินหรือวิ่งเพ่นพล่านในเวลากลางวันได้เหมือนกัน หนูใช้จมูกดมหาแหล่งอาหาร มักหากินในบริเวณใกล้บ้านพักอาศัยอยู่ในรัศมี 100-150 ฟุต หนูมีความสามารถที่จะหาอาหารได้ทั้งในน้ำและบนบก หนูที่มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์มี 3 ชนิด คือ หนูนอร์เวย์ หนูหลังคา หนูหริ่ง
หนูนอร์เวย์
เป็นหนูที่มีขนาดใหญ่ มีจมูกป้าน ส่วนหางสั้นกว่าส่วนหัวและลำตัว ลำตัวอ้วนและน้ำหนักตัวมากกว่าหนูหลังคา ตาและจมูกเล็ก มีขนหยาบสีน้ำตาลปนเทา ส่วนท้องสีเทา มักอาศัยอยู่ตามรูที่ขุดไว้ในดิน หรือช่องว่างตรงรอยต่อระหว่างฝาผนัง และพื้น ในกองมูลฝอย ในท่อระบายน้ำเสีย หรือท่อระบายน้ำอื่นๆ มักทำรังเป็นที่อยู่อาศัยโดยใช้กิ่งไม้ หรือมูลฝอย หรือเศษหญ้า หรือกระดาษหนังสือพิมพ์
หนูหลังคา
บางทีเรียกว่า หนูท้องขาว เพราะมีขนตรงส่วนท้องสีขาวปนเทา หรือครีม มีจมูกแหลม ตาและหูใหญ่กว่าหนูนอร์เวย์ ลำตัวเพรียวกว่า ส่วนหางจะยาวกว่าส่วนหัวและลำตัวรวมกัน มักอาศัยอยู่ตามช่องว่างในหลังคาหรือเพดาน อาจจะทำรังอยู่นอกบ้านใต่กองเศษใบไม้ หญ้าหรือตามสุมพุมต้นไม้สูง อาจเห็นวิ่งไปตามท่อน้ำหรือคานของบ้าน หรืออาคารต่างๆ และตามกิ่งไม้ เคลื่อนไหวไปตามทางเดิน
หนูหริ่ง
เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุด มีขนาดเท่ากับหนูนอร์เวย์ และหนูหลังคาที่ยังเล็กอยู่ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบขนาดของหนูหริ่งและหนูชนิดอื่นขณะที่ยังเล็กอยู่ หนูหริ่งมีน้ำหนักตัวประมาณ 10-15 กรัม ส่วนหัวและลำตัวยาวประมาณ 7.5 เซนติเมตร ส่วนหางมีความยาวกวาส่วนลำตัวและหัวรวมกัน เพียงเล็กน้อย ขนด้านหลังมีสีเทาหรือสีเทาปนน้ำตาล ขนส่วนท้องมีสีขาว
วิธีการสำรวจลักษณะที่แสดงให้ทราบว่ามีหนูเข้ามาอาศัยอยู่ในอาคารโรงงาน
ปกติแล้วหนูจะออกหากินตอนกลางคืน ยกเว้นบริเวณที่หนูเข้ามาอาศัยอยู่เป็นประจำจำนวนมาก วิธีสังเกตง่ายๆคือดูรอยแทะ รอยถู รูหรือโพรง มูลหนูกลิ่นสาปหนูเป็นต้น
1.รอยแทะ ฟันหนูจะมีการเจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก(ประมาณ 5 นิ้ว/ปี) ดังนั้นจึงต้องมีการกัดแทะอยู่ตลอดเวลา เพื่อแต่งฟันให้สั้นและคมอยู่เสมอ ปรกติแล้วหนูจะแทะของทุกชนิด ตั้งแต่อาหารไปจนถึงอิฐ คอนกรีต ยาง ไม้และพลาสติกเป็นต้น โดยจะเริ่มจากบริเวณขอบๆเข้าไปและมักจะมีเศษเล็กๆของสิ่งที่มันแทะตกหล่นอยู่ที่ฟัน ฉะนั้นบริเวณที่ควรสำรวจรอยแทะบ่อยๆคือบริเวณประตู หน้าต่าง พื้นฝาผนังสายไฟหรือภาชนะบรรจุอาหาร หากพบรอยแทะใหม่ๆแสดงว่ามีหนูเข้ามาอาศัยอยู่อย่างแน่นอน
2. รอยถูหรือรอยคราบหรือรอยเท้า ปกติหนูจะเดินหรือวิ่งบนพื้นราบเรียบ แต่ถ้าหากจำเป็นมันสามารถไต่ขึ้นตามฝาผนัง ท่อน้ำได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดรอยคราบสกปรกติดอยู่ที่ฝาผนังหรือท่อน้ำได้ ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งสกปรกและน้ำมันจากตัวมันเองที่ก่อให้เกิดรอยเปรอะเปื้อน ขึ้นเพราะเมื่อหนูผ่านกันจะแกว่งหางและลำตัวเพื่อช่วยในการผ่านสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดรอยถูบริเวณที่ผ่าน และธรรมชาติของหนูอีกอย่างคือจะใช้เส้นทางเดิมดังนั้นจึงง่ายที่จะสังเกตุรอยต่างๆได้ และจะสังเกตได้ง่ายๆอีกวิธีหนึ่งคือใช้แป้งโรยตามรอยที่พบ และมาสังเกตดูอีกครั้งหลังจาก 2-3 วันต่อมา
3. รูหรือโพรงที่หนูอาศัย มักจะพบตามใต้ถุนอาคารบ้านเรือนหรือขอบรั้วบ้าน หรือบริเวณใกล้ๆที่เก็บขยะ ซึ่งถ้าพบรูหรือโพรงนี้จะทำให้ทราบว่ามีหนูอาศัยอยู่ที่ใด และทำการกำจัดได้ง่าย
4. มูลหนู การพบมูลหนูในบริเวณไหน แสดงให้ทราบว่าบริเวณนั้นมีหนูอยู่ มูลหนูที่ใหม่จะมีลักษณะมันเลื่อมและมีสีดำ แต่หลังจากผ่านไป 2-3 วัน จะมีลักษณะแห้งและแข็ง มูลของหนูนอร์เวย์จะมีลักษณะคล้ายเม็ดแคปซูลขนาดยาว ¾ นิ้ว ส่วนหนูท้องขาวนั้นจะมีลักษณะคล้ายกระสวย มีความยาวประมาณ ½ นิ้ว ส่วนหนูหริ่ง จะมีลักษณะเป็นท่อน มีความยาวประมาณ 1/8 นิ้ว ซึ่งการสังเกตมูลจะทราบว่ามีหนูชนิดใดอาศัยอยู่
5. กลิ่นสาปหนู กลิ่นสาปหนูใช้เป็นเครื่องแสดงว่าหนูอาจมาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นแต่จะไม่แม่นยำเท่าที่ควร เพราะอาจเป้นกลิ่นเก่าตกค้างหลังจากหนุอพยพไปแล้วก็ได้เนื่องจากกลิ่นสาปหนูจะติดทนนาน
6.คราบปัสสาวะ อาจสังเกตได้ตามฝาผนังตามทางเดินของหนู โดยอาศัยแสงUltra violet ซึ่งหากพบได้ว่ามีคราบเรืองแสงอยู่ แต่ต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังเพราะอาจเป็นสิ่งอื่นได้